วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

รักษ์ธรรมชาติ



วิธีรักษ์พลังงาน

- แค่เราปิดไฟฟ้า 1 ดวง หรือถอดหลอดไฟที่ไม่ใช้ออก จะสามารถประหยัดพลังงานได้ 2,519 ล้านบาทต่อปี
- การปิดโทรทัศน์เมื่อไม่มีคนดู หรือเลือกใช้โทรทัศน์ขนาด 14 นิ้ว แทน 20 นิ้ว จะสามารถประหยัดพลังงานได้ 2,642 ล้านบาทต่อปี
- การกดลิฟท์แต่ละครั้งสูญเสียพลังงานคิดเป็นมูลค่าครั้งละ 7 บาท ถ้าเราต้องขึ้นลงชั้นเดียวหรือสองชั้น ก็ออกกำลังกายด้วยการเดินขึ้นทางบันไดดีกว่า เพราะ นอกจากร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยรักษ์โลก รักษ์ชีวิต ได้ด้วยค่ะ
- การปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ใช้งาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ขนาด 15 นิ้ว แทน 17 นิ้ว จะสามารถประหยัดพลังงานได้ 92 ล้านบาทต่อปี
- แค่เราช่วยกันลดการใช้พลังงานภายในบ้านด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 1,000 ปอนด์ต่อปี
วิธีรักษ์อากาศ

- การขับรถยนต์น้อยลงนอกจากช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ อากาศได้อีกด้วย ทางที่ดีหันมาใช้บริการรถสาธารณะดีกว่าค่ะ
- การขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์ 1 คัน เห็นไหมครับว่าขับรถช้าๆ ก็ช่วยรักษ์โลก รักษ์ชีวิตได้
- การขับรถยนต์น้อยลงนอกจากช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่อากาศได้อีกด้วย ทางที่ดีหันมาใช้บริการรถสาธารณะดีกว่าค่ะ
- การขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์ 1 คัน เห็นไหมครับว่าขับรถช้าๆ ก็ช่วยรักษ์โลก รักษ์ชีวิตได้ ค่ะ
- การเผากำจัดถุงพลาสติกในเตาเผาขยะอย่างถูกวิธี ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีปริมาณก๊าซเรือนกระจก ในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ทางที่ดีหันมาใช้ถุงผ้ากันดีกว่าค่ะ (โชว์ถุงผ้า 7 สีปันรักให้โลก)
- การนำสร้างนโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเต็มที่ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาขยะ ในกระบวนการกำจัดได้ค่ะ
วิธีรักษ์ต้นไม้

- ปลูกต้นไม้ใหญ่ 1 ต้น ให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน ที่ให้ความเย็น ประมาณ 12,000 บีทียู แค่ปลูกต้นไม้ 1 ต้น ก็ถือว่าเราได้ช่วยกันรักษ์โลก รักษ์ชีวิต แล้วค่ะ
- คนรุ่นใหม่อย่างพวกเรานำเทคโนโลยีมาช่วยในการรักษ์โลก รักษ์ชีวิตได้ ด้วยการส่งข้อมูลข่าวสาร ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เช่น อีเมลล์ นี่เป็นวิธีการช่วยลดการใช้กระดาษได้ง่ายๆ ค่ะ
- สิ่งพิมพ์แบบรักษ์โลก รักษ์ชีวิต เป็นยังไงทราบไหมคะ ก็คือสิ่งพิมพ์ที่ไม่ใช้สีสะท้อนแสง ไม่ใช้ฟอย ไม่เคลือบมัน เพราะ จะทำให้นำไปเข้ากระบวนการผลิตกระดาษรีไซเคิลได้ง่าย เพราะฉะนั้นเวลาออกแบบสิ่งพิมพ์เราควรคำนึงถึง การนำไปรีไซเคิ้ลด้วยนะค่ะ
- เรามาช่วยกันใช้กระดาษหน้าที่ 3 กันดีกว่าค่ะ ด้วยการนำกระดาษที่ใช้แล้ว ทั้ง 2 หน้า ไปบริจาคให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอด เพื่อนำไปให้เด็กๆ ใช้เขียนและอ่านอักษรเบรลล์ต่อค่ะ
วิธีรักษ์น้ำ

- ก๊อกน้ำมีอัตราการไหลของน้ำเฉลี่ย 9 ลิตรต่อ 1 นาที ถ้าเราแปรงฟันคนละ 3 นาที และเปิดน้ำทิ้งไว้ จะใช้น้ำถึง 27 ลิตร ช่วยกันปิดก๊อกน้ำขณะแปรงฟันกันนะค่ะ
- การเปิดก๊อกน้ำทิ้งขณะล้างจาน เราอาจเสียน้ำมากถึง 130 ลิตร แค่เราปิดก๊อกน้ำขณะล้างจาน ก็ช่วยโลกเราได้แล้วค่ะ
- วิธีรักษ์น้ำที่ง่ายที่สุด คือ ช่วยกันลดการใช้น้ำคนละ 1 แก้ว/วัน แค่นี้ประเทศไทยจะสามารถประหยัดน้ำได้ 30,000 ตัน/วัน ค่ะ การอาบน้ำด้วยฝักบัว จะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด รูฝักบัวยิ่งเล็กยิ่งประหยัดน้ำนะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เมนูอาหารบำรุงผิว

เมนูอาหารบำรุงผิว

แนะผัก-ผลไม้ต้านอนุมูลอิสระ

ขึ้นชื่อว่า "ผู้หญิง" ย่อมอยากจะมีผิวพรรณที่สดใสเปล่งปลั่งกันทั้งนั้น

อาหาร คือสารบำรุงผิวที่ดีที่สุด เพราะอาหารช่วยให้ผิวพรรณสดชื่น เปล่งปลั่ง และดูอ่อนวัยได้ เนื่องจากอาหารที่ดีกับสุขภาพ จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นและช่วยขับพิษออกจากร่างกาย อาหารที่ช่วยให้ผิวสวยสดใส ลดเลือนริ้วรอยได้ แถมจ่ายไม่แพงมีหลายชนิดที่สามารถหาทานได้ใกล้ตัว เช่น

เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง ซึ่งมีข้อดี คือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

น้ำดื่มสะอาด หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

ตัวอย่างเมนูอาหารบำรุงผิวที่น่าสนใจและปรุงไม่ยาก มีดังนี้

มื้อเช้า : สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส
มื้อเที่ยง : ปลาจะละเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง
มื้อว่าง : นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสดๆ
มื้อเย็น : ลาบเห็ด ซุปเต้าหู้ ข้าวกล้อง

เมล็ดข้าวและธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่า วิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้กับผิว

ผักและผลไม้สด วิตามินเอมีมากในผักสด ซึ่งช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนูอาหารทุกมื้อของคุณ

เมื่อเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิวแล้ว อย่าลืมที่จะหลีกเลี่ยงบรรดาอาหารที่จ้องจะทำร้ายผิวสวยๆ ของคุณด้วยนะคะ ไขมันอิ่มตัวจากเบคอน ไอศกรีม เนยสดต้องหลีกให้ไกล เพราะเป็นตัวการสร้างสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม นอกจากนี้ต้องหลีกเลี่ยงชากาแฟที่เป็นตัวการร้ายทำลายความชุ่มชื้นของผิว ร้ายสุดคือ "แอลกอฮอล์" ที่ถ้ายังห่วงสวยต้องหลีกให้ไกล

หากเลือกปฏิบัติได้ตามนี้ ต้องอย่างนี้สิ "สวยเลือกได้" ตัวจริง !!!

ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องคืออะไร ?
คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก
สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว
ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง
ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%
ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

•ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร

•ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้

•ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก

•ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน

•ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

•ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน

•ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

•ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

•ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล

•ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)

•ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย

•ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย

•วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง

•ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา

•วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก

•วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด

•วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร

•ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง

•แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

•ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย

•กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่

•เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

•โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

•แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น

•ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า

•มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น
ปริมาณสารอาหารในข้าวขาวกับข้าวกล้อง


ผลเสียของการกินข้าวขาว
โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก

•โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)

•โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)

•โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)

•โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย

•โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)

•โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)

•อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก

•เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว

•โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%

•โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว

•อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม

•โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง

•ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์
จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ
คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น

Apple Cider Vinegar

Apple Cider Vinegar

Apple Cider Vinegar หรือ ACV ซึ่งก็คือ น้ำส้มสายชูหมักชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้กรรมวิธีหมักหัวเชื้อน้ำส้มกับผลแอปเปิ้ล โดยปกติน้ำส้มที่ได้จะมีความเป็นกรดสูง รสเปรี้ยวจัด เนื่องจากมีส่วนผสมของกรด Acetic Acid ประมาณ 5 % และให้สีคล้ายน้ำชา ในความจริงถ้าจะพูดถึงแอปเปิ้ลละก็ แทบจะทุกๆชนชาติเลยทีเดียว ที่มีการใช้ผลไม้ชนิดนี้มาบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง ซึ่งในความเป็นจริงนั้น แอปเปิ้ลเองก็เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุอาหารต่างๆกว่า 30 ชนิด พร้อมเกลือแร่ และวิตามินมากกว่า 6ชนิด โดยเฉพาะธาตุโพแทสเซียม และเส้นใยเฉพาะ ที่มักพบในแอปเปิ้ลที่เรียกว่า เพ็คติน(Pectin) ซึ่งล้วนแต่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายทั้งสิ้น
ดังนั้นเนื่องด้วยประโยชน์มากมายนี้เอง จึงมีการนำสารสกัดในรูปหัวน้ำส้มแอปเปิ้ล เข้ามาใช้ในหลายๆจุดประสงค์ ซึ่งโดยปกตินั้นด้วยความที่หัวน้ำส้มเองก็มีรสเปรี้ยวจัด สูตรการรับประทานส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาเจือจางด้วยน้ำสะอาด หรือให้เติมน้ำผึ้ง เพื่อกลบรสชาตินั่นเอง ทีนี้เราลองมาดูซิว่าโดยทั่วไปแล้วเรานำ Apple Cider มาใช้อย่างไรกันบ้าง เริ่มด้วย
1.ช่วยชะลอความชราและรักษาความเป็นหนุ่มสาว โดยผสม Apple Cider กับ น้ำผึ้ง 1:1 แล้วทาน 15 CC (1 ช้อนโต๊ะ) หลังตื่นนอน และก่อนนอน แล้วดื่มน้ำตาม 1 แก้ว
2.ลดน้ำหนักและไขมันสะสม เนื่องด้วยเส้นใยเพคตินนั้นเองที่สามารถ ขัดขวางการดูดซึมของไขมันและคลอเรสเตอรอล ที่มาจากกระบวนการย่อยอาหาร รวมทั้งยังเป็นตัวช่วยให้ร่างกายเพิ่มการใช้ไขมันสะสมที่เก็บตามเนื้อเยื่อต่างๆได้ด้วย โดยทาน Apple Cider 15 CC พร้อมน้ำผึ้ง 30 CC แล้วตามด้วยน้ำ Grape Fruit ที่ไม่หวาน 1 แก้ว ทาน 30 นาทีก่อนอาหารทุกมื้อ
3.เร่งขจัดสารพิษในกระแสเลือดและอวัยวะภายใน เนื่องจาก Apple Cider มีฤทธ์ในการป้องกันการเกาะตัวของไขมันและสารเมือกต่างๆที่อวัยวะภายในร่างกาย พร้อมส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายและอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ถุงน้ำดี ให้เป็นปกติ โดยทาน 10-15 CC.เช้าและก่อนนอน
4.บำรุงผมและเล็บ โดยทาน 10 CC พร้อมน้ำ 1 แก้วหลังอาหาร 3 เวลา บางตำรามีการใช้เพื่อแก้ผมแตกปลาย รังแคและอาการคันศีรษะ เนื่องด้วยความเป็นกรดและมีเอนไซม์ธรรมชาติหลายชนิด โดยอาจจะนำไปนวดกับรากผมเบาๆให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ 2-3 ช.ม. แล้วสระผมด้วยแชมพูปกติ
5.ทำให้สดชื่นหลังออกกำลังกายหรือทำงานหนัก โดยดื่ม Apple Cider 15 CC ผสมน้ำผึ้ง 15 CC ละลายน้ำแล้วดื่มทันที จะทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าทันทีนอกจากนี้ Apple Cider ยังมีฤทธิ์เป็นสารปฏิชีวนะ ซึ่งสามารถใช้ลดเชื้อในช่องคอหากมีอาการเจ็บคอ โดยนำ Apple Cider 15 CC ผสมน้ำอุ่นแล้วกลั้วคอทุกๆ 1-2 ชม.จะช่วยบรรเทาอาการได้ดี ดังนั้นจากสรรพคุณมากมายนี้เอง จึงทำให้ Apple Cider นี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยโรคไต อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง

การลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหาร

การลดน้ำหนักโดยวิธีควบคุมอาหาร
ในปัจจุบันคนไทยมีปัญหาน้ำหนักเกินจนกลายเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าความอ้วนเกิดจากสาเหตุได้หลายอย่าง แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงเกิดจากการบริโภคเกินความสามารถในการเผาผลาญของตนเอง อย่างไรก็ตามในการลดน้ำหนัก แพทย์จำเป็นต้องขจัดสาเหตุที่ก่อโรคอ้วนนั้นด้วยการรักษาจึงจะได้ผลดี เช่นโรค hypothyoid หรือ cushing syndrome และยาอีกหลายชนิด ฯลฯ ชาวเอเชียเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วนได้ง่ายกว่าชาวยุโรป ถึงแม้ว่าคนไทยยังไม่อ้วนมากนัก แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนก็สูงกว่าชาวยุโรป อีกทั้งการรักษา ภาวะแทรกซ้อน ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำดังที่เป็นอยู่ ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น พบว่าน้ำหนักยิ่งมากก็ยิ่งประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้น้อย จึงได้มีผู้พยายามคิดค้นวิธีการต่าง ๆ หลายอย่างเพื่อที่ช่วยให้การลดน้ำหนักให้สำเร็จ ตั้งแต่การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนบริโภคนิสัย ส่วนการใช้ยานั้นเป็นตัวส่งเสริมให้การปฏิบัติตัวได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในระยะต้นของการลดน้ำหนัก สำหรับการผ่าตัดนั้นจะใช้ต่อเมื่อวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผลและผู้ป่วยอ้วนมาก หรือมีปัญหาสุขภาพที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างได้ผลรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะปัญหาแทรกซ้อนจากการผ่าตัดมีหลายอย่างและอาจจะร้ายแรง การอดอาหารเลยทำให้น้ำหนักตัวลดได้ดีและรวดเร็ว แต่จะมีผลทำให้ร่างกายเสียโปรตีนและสารอาหารสำคัญอื่น ออกจากอวัยวะที่สำคัญของร่างกายจนอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ประสบการณ์ในอเมริกาพบว่า แม้ให้ดื่มอาหารเหลวที่เป็นโปรตีน (Liquid protein diet) ซึ่งได้จากการย่อยพวก คอลลาเจน ทุกวันเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งคิดว่ามีโปรตีนมากพอก็ยังมีผู้เสียชีวิตเกือบ 60 คน การควบคุมอาหารยังเป็นวิธีการในการรักษาคนอ้วน ซึ่งอาหารที่ใช้กันมีหลายชนิด โดยมีหลักการเหมือนกันคือ ปริมาณพลังงานที่รับเข้าต้องน้อยกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในแต่ละวัน

อาหารควบคุมน้ำหนักสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ อาหารพลังงานต่ำ (low calorie diets) ซึ่งให้พลังงานต่อวันระหว่าง 10 - 20กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวหรือให้พลังงานประมาณ 800 - 1000 กิโลแคลอรี่ ซึ่งมีการกระจายตัวของสารอาหารคล้าย ๆ กับอาหารธรรมดาและอาหารพลังงานต่ำมาก (very low calorie diets) ซึ่งมีพลังงานต่อวันน้อยกว่า 10 กิโลแคลอรี่ ต่อ กิโลกรัมน้ำหนักตัว หรือให้พลังงานน้อยว่า 800 กิโลแคลรีต่อวันโดยทั่วไปอยู่ประมาณ 400 - 600 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ซึ่งมีการกระจายตัวของสารอาหารอย่างไม่สมดุลย์ จึงเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่จำเป็นบางชนิด ถึงแม้ว่ามีการให้โปรตีนมากและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ หากไม่มีแพทย์ดูแลใกล้ชิด ดังนั้นการให้กินอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและมีส่วนผสมของ โปรตีนที่มีคุณภาพดี มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตรวมทั้งมีวิตามินและเกลือแร่ที่พอเหมาะ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้น้ำหนักลดได้ดีและปลอดภัย ผู้ป่วยจำเป็นต้องทราบความรู้เบื้องต้นว่าอาหารชนิดใดกินได้มาก ชนิดใดกินได้น้อย ชนิดใดให้ประโยชน์ ชนิดใดให้โทษอย่างไร แพทย์ต้องให้โอกาสและเวลาแก่ผู้ที่มารับคำแนะนำพอสมควร
ในขณะเดียวกันจำเป็นต้องปรับและควบคุมบริโภคนิสัย ของผู้ป่วยการกินที่เหมาะสม ต้องเริ่มด้วยการลดพลังงานของอาหารที่กินประจำลง จากเดิมวันละ 500 - 1000 แคลอรี่ แบ่งอาหารให้กระจายพอ ๆ กันทั้งวัน ไม่ควรงดมื้ออาหาร แต่ควรงดอาหารระหว่างมื้อ ใช้น้ำมันให้น้อย ไม่ควรเกิน 20 - 30 % ของพลังงานทั้งวัน กินโปรตีนให้ได้ปริมาณ 15 % ของพลังงานทั้งวัน ที่เหลือเป็นคาร์โบไฮเดรต งดแอลกอฮอล์ ผนวกกับการหาวิธีเพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร ให้มากขึ้นโดยการออกกำลังกาย Bradifield และคณะได้แสดงให้เป็นว่าการเดิน 45 นาที ก่อนและหลังอาหารจะทำให้อัตราการเผาผลาญสูงอยู่ได้อย่างน้อย 5 ชั่วโมง และถ้าออกกำลังกายอย่างหนัก อาจเพิ่มการเผาผลาญได้นานถึง 24 ชั่วโมง ยิ่งไปกว่านั้น การวิ่งสลับเดินประมาณ 4 - 5กม.ทุกวันเป็นเวลาประมาณ 4 เดือน ทำให้อัตราส่วนระหว่าง HDL choiesterol ต่อ LDL cholesterol สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงสามารถระดับ triglycerides ลงได้ ซึ่งจะมีผลดีต่อการป้องกันเส้นโลหิตแข็ง อีกทั้งการทำงานของอินซูลินในการนำกลูโคสเข้าไปใช้ในเซลล์กล้ามเนื้อก็ดีขึ้น แม้การเคลื่อนไหวในระดับปานกลาง ก็มีความสำคัญในการป้องกันไม่ให้ระดับการเผาผลาญลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าออกกำลังกายหนักก่อนกินอาหาร จะทำให้มีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมาก บางครั้งที่วิธีอดอาหารด้วยตัวเองไม่ได้ผลจึงต้องใช้ยาช่วย

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี น้ำตกเอราวัณ มีน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศด้วยอาณาเขตอันกว้างขวางประกอบไปด้วยภูเขาสูง หน้าผา น้ำตก ถ้ำ และทิวทัศน์ที่งดงามตามธรรมชาติ ทั้งการคมนาคมที่สะดวกทำให้อุทยานฯ เอราวัณเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอันมาก มีเนื้อที่ประมาณ 550 ตารางกิโลเมตร หรือ 343,750 ไร่ ได้ประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2518
ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 165-996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบโดยภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน (Lime Stone) ในแถบตะวันออกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนวโดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ในพื้นที่ซีกตะวันออกนี้จะมีลำห้วยที่สำคัญคือ ห้วยม่องไล่ และห้วยอมตะลา ซึ่งไหลมาบรรจบกันกลายมาเป็นน้ำตกเอราวัณ ทางตอนเหนือของพื้นที่มีห้วยสะแดะและห้วยหนองมน โดยห้วยสะแดะจะระบายน้ำลงสู่เขื่อนศรีนครินทร์ ส่วนห้วยหนองมนไหลไปรวมกับห้วยไทรโยค ก่อให้เกิดน้ำตกไทรโยค ส่วนทางทิศใต้เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยหลายสาย เช่น ลำห้วยเขาพัง เป็นต้น ก่อให้เกิดน้ำตกที่สวยงาม ซึ่งเรียกว่า “น้ำตกเขาพัง” หรือน้ำตกไทรโยคน้อย
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติเอราวัณ แบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือ
ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน
อุทยานแห่งชาติเอราวัณได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือช่วยพัดพาให้เกิดฝน แต่เนื่องจากพื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน ทำให้มีปริมาณฝนตกไม่มากนักและอากาศค่อนข้างร้อน ลักษณะอากาศดังกล่าวจึงไม่เป็นปัญหาต่อการเที่ยวชมทำให้สามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดู
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ ซึ่งมีประมาณ 78% ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ พรรณไม้ที่สำคัญได้แก่ มะค่าโมง ตะเคียนทอง ประดู่ กว้าว มะกอก ตะแบก ฯลฯ นอกจากนั้นเป็นป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้งและป่าไผ่ พรรณไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง พะยอม มะค่าแต้ ยางโอน ยมหิน ข่อยหนาม ก้นเกรา และไผ่ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
จากการสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในเขตพื้นที่อุทยานฯ แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ สัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นกชนิดต่าง ๆ และสัตว์น้ำอื่น ๆ รวมทั้งปลานานาชนิดที่สำคัญ และมักจะพบเห็น ได้แก่ ช้างป่า เสือ เลียงผา อีเก้ง กวางป่า หมูป่า ชะนี ปูกาญจนบุรี เป็นต้น

แหล่งท่องเที่ยว
แผนที่แหล่งท่องเที่ยวและเดินป่าในอุทยานแห่งชาติเอราวัณclick ที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย

ถ้ำตาด้วง
ลักษณะเด่นของถ้ำนี้มีภาพเขียนอยู่ที่ผนังปากถ้ำเป็นรูปคนและต้นไม้ นอกจากนี้ยังพบเศษเครื่องใช้สมัยโบราณยุคหินใหม่ เช่น เศษถ้วย ไห เป็นต้น กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา

ถ้ำพระธาตุ
เป็นถ้ำมืดที่สวยงาม มีหินงอกหินย้อยเป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามแต่ผู้พบเห็นจะจินตนาการ สวยงามมาก อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 790 เมตร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน- แห่งชาติ ประมาณ 12 กิโลเมตร กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา

ถ้ำเรือ
ไม่มีหินงอกหรือหินย้อย แต่จุดเด่นที่มีภาชนะที่ใช้รองน้ำสมัยโบราณวางอยู่ ภาชนะนั้นทำจากไม้ทั้งต้น มาเจาะให้มีลักษณะคล้ายเรือ ส่วนหัวได้ตกแต่งเป็นรูปหัวคน มีตา จมูก และหู 2 ข้าง ซึ่งจะช่วยค้ำไม่ให้พลิกเอียง ปัจจุบันสภาพของภาชนะนั้น แตกหักเหลือที่สมบูรณ์เพียงไม่กี่อัน และมีมูลค้างคาวตกปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา

ถ้ำวังบาดาล
ลักษณะของถ้ำวังบาดาล เช่น ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ปากทางเข้าเป็นห้องเล็ก ๆ มีหลายห้อง ห้องชั้นล่างมีน้ำไหลผ่านและมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่ด้วย นอกจากนี้แต่ละห้องยังมีความงามของหินงอกหินย้อย เช่น ห้องม่านพระอินทร์ จะมีลักษณะหินย้อยลงมาคล้ายกับม่าน ห้องเข็มนารายณ์ มีลักษณะคล้ายเข็มแท่งใหญ่ซึ่งวิจิตรงดงามมาก กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา


ถ้ำหมี
เป็นถ้ำขนาดใหญ่มีอากาศถ่ายเทพอควร (จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในอดีตถ้ำนี้แบ่งเป็นที่อยู่ของหมี ทำให้เรียกกันต่อ ๆ มาว่า “ถ้ำหมี”) ภายในถ้ำแบ่งเป็นห้องลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ได้ 8 ห้อง แต่ละห้องจะปรากฏรูปร่างและสีแปลกตา มีหินงอก หินย้อยตามผนังถ้ำสวยงามพอสมควร กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา

น้ำตกผาลั่น
เป็นน้ำตกชั้นเดียวจะมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น กิจกรรม : - เดินป่าศึกษาธรรมชาติ - แคมป์ปิ้ง - เที่ยวน้ำตก - ชมพรรณไม้ - ดูนก


น้ำตกเอราวัณ
เป็นน้ำตกที่มีระยะทางยาวประมาณ 1,500 เมตร ติดต่อกันซึ่งแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ได้ 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวทอดตัวไปบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ป่าหลายชนิดบนคาคบไม้ สายธารน้ำที่ไหลตกลดหลั่นลงมาบนโขดหินสู่ แอ่งน้ำเบื้องล่าง เสียงสาดซ่า คลอเคล้าด้วยส่งเสียงเพรียกของนกป่า ทำให้สภาพความเป็นธรรมชาติสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นับเป็นบรรยากาศที่เรียกเอาความมีคุณค่าของป่าเขาลำเนาไพรซึมซับเข้าสู่อารมณ์ของผู้ใฝ่ความสันโดษ และรักธรรมชาติโดยแท้จริง ในชั้นที่ 7 อันเป็นชั้นบนสุดของน้ำตก เมื่อมีน้ำตกไหลบ่าจะมีรูปคล้ายหัวช้างเอราวัณ จนคนทั่วไปรู้จักและขนานนามว่า “น้ำตกเอราวัณ” กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ม่องล่าย อุทยานแห่งชาติได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างความรู้และได้รับความเพลิดเพลินไปพร้อมๆ กัน ดูรายละเอียดเส้นทางศึกษาธรรมชาติได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กิจกรรม : - เดินป่าศึกษาธรรมชาติ
สถานที่ติดต่อและการเดินทาง
สถานที่ติดต่อ

อุทยานแห่งชาติเอราวัณตู้ ปณ. 108 ตลาดศรีนครินทร์,อ. ศรีสวัสดิ์ จ. กาญจนบุรี 71250

การเดินทาง
รถยนต์

การเดินทางสามารถใช้เส้นทางได้ 2 ทาง คือ
1. เริ่มต้นจากตัวจังหวัดกาญจนบุรี ไปตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 323 ถึงเขตการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเขื่อนศรีนครินทร์ ข้ามสะพานไปยังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์แล้วจึงเลยเข้าไปยังที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 66 กิโลเมตร
2. ถ้าเดินทางมาจากอุทยานแห่งชาติไทรโยค จะมีเส้นทางบริเวณบ้านวังใหญ่อยู่ตอนใต้ของน้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 6 กิโลเมตร ลัดออกไปบ้านโป่งปัดบริเวณเขื่อนท่าทุ่งนา ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 323 อีกประมาณ 30 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ
บริการด้านการขนส่ง
เช่ารถตู้
บริการเพื่ออำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ซึ่งการเช่านี้เป็นการเช่ารถพร้อมคนขับโดยไม่รวมค่าน้ำมัน และค่าธรรมเนียมผ่านทางต่างๆ
เช่าเรือ
บริการให้เช่าเรือแก่ผู้เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล
บริการรับ-ส่ง
บริการรับ-ส่ง ให้แก่ผู้ที่จะเดินทางไป-กลับระหว่างสนามบิน/สถานีขนส่ง/ท่าเรือ/สถานที่พักกับอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และ/หรือ สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
ตั๋วโดยสาร
บริการจองตั๋วโดยสารเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และ/หรือ สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งทางเครื่องบิน รถโดยสาร รถไฟ และเรือ
ค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานแห่งชาติ
ผู้ใหญ่ คนละ 20-80 บาท (ขึ้นอยู่กับอุทยานฯ)
เด็ก คนละ 10-40 บาท (ขึ้นอยู่กับอุทยานฯ)
กรณีเป็นเด็กอายุต้องต่ำกว่า 14 ปี แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 3 ปี จักไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
กรณีเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ให้เก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสำหรับเด็ก รถจักรยาน 10 บาท/คัน
รถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน
รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน
รถยนต์ 6 ล้อ 100 บาท/คัน
รถยนต์ไม่เกิน 10 ล้อ 200 บาท/คัน-->

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอแก่งกระจาน อำเภอหนองหญ้าปล้อง อำเภอท่ายาง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี และมีลักษณะเด่นทางธรรมชาติที่สำคัญหลายแห่ง เช่น ทะเลสาป น้ำตก ถ้ำ หน้าผาที่สวยงาม ทั้งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 2,915 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,821,875 ไร่ ได้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2524
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ปิดการท่องเที่ยวและพักอาศัย (เฉพาะที่พักโซนที่ 3) ในเขตอุทยานแห่งชาติประจำปี (เฉพาะแค้มป์บ้านกร่าง และเขาพะเนินทุ่ง ) ในช่วงฤดูฝน เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวดังนี้ คือ ปิดตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-31 ตุลาคม ของทุกปี
ลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศมีทั้งส่วนที่เป็นพื้นดินและส่วนที่เป็นอ่างเก็บน้ำ มีเนื้อที่ประมาณ 45 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ป่าเหนืออ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน ประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน ติดต่อกันเป็นอาณาเขตกว้าง ยอดสูงสุดประมาณ 1,200 เมตร โดยเฉลี่ยสูงประมาณ 500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินแกรนิต บางแห่งเป็นเขาหินปูน ในหลายแห่งอุดมไปด้วยแร่ฟลูออไรน์ ปกคลุมด้วยป่าดิบชื้นเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าดิบชื้น จึงทำให้มีความชื้นสูง ส่วนใหญ่จะมีฝนตกชุก จึงมีอากาศเย็นสบายตลอดปี ไม่ร้อนอบอ้าว
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบชื้น คือ มีประมาณ 80% ของพื้นที่ และอีก 20% เป็น ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ทุ่งหญ้า ทั้งยังมีลักษณะเด่นในบางพื้นที่เป็นป่าเต็งรังผสมกับไม้สนซึ่งเป็นสนสองใบ ตามธรรมชาติ มีพรรณไม้มีค่าทางเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น ตะเคียนทอง ประดู่ มะค่า กฤษณา ฯลฯ มีสภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง
สัตว์ป่ามีอยู่อย่างหนาแน่น ชุกชุมด้วยสัตว์ใหญ่ เช่น ช้างป่า โดยเฉพาะช้างที่เคยจับได้เป็นช้างเผือก ซึ่งราษฎรชาวจังหวัดเพชรบุรีได้น้อมเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้วถึง 4 เชือก นอกจากนั้นสัตว์อื่นๆ ก็ยังมีอยู่หลายชนิด เช่น กระทิง เก้ง เสือ กวาง ค่าง ลิง ชะนี หมี และอื่น ๆ อีกมาก รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลาน นกชนิดต่าง ๆ และจระเข้น้ำจืดหรือจระเข้ตีนเป็ดในหนองน้ำลำห้วยต้นแม่น้ำเพชรบุรี

แหล่งท่องเที่ยว

การดูนก จุดที่น่าสนใจสำหรับการดูนกส่วนใหญ่อยู่ตามเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง บริเวณ กม. ที่15 มีนกพญาปากกว้าง นกบั้งรอก นกหัวขวาน นกแต้วแล้ว และนกเงือกหลายชนิด ช่วง กม. ที่ 26-29 มีนกเสือแมลงหัวขาว นกกะรางหัวหงอก โดยเฉพาะนกกะลิงเขียดหางหนาม ซึ่งมักหากินรวมฝูงอยู่กับนกระวังไพรปากแดงสั้น จากบริเวณนี้เป็นต้นไปสามารถพบนกทางภาคเหนือ เช่น นกปรอดหัวตาขาว นกเสือแมลงปีกแดง นกกะลิงเขียดสีเทา ฯลฯ

การดูผีเสื้อ จุดที่น่าสนใจสำหรับการดูผีเสื้ออยู่บนเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง โดยเริ่มตั้งแต่ กม. ที่ 10 เป็นต้นไป จะพบผีเสื้อตามสองข้างทาง บริเวณแอ่งน้ำมีผีเสื้อหนอนจำปีจุดแยก ผีเสื้อสะพายฟ้า ผีเสื้อวาวสีต่างฤดู ตามพุ่มไม้มีผีเสื้อกะลาสีธรรมดา ผีเสื้อสีตาลจุดตาห้า ผีเสื้อช่างร่อน ตามกองมูลสัตว์มีผีเสื้อเหลืองหนามธรรมดา ผีเสื้อตาลหนามใหญ่ จากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กจ. 4 (บ้านกร่าง) อาจพบผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียวซึ่งเป็นผีเสื้อหายากชนิดหนึ่ง กิจกรรม : - ดูผีเสื้อ

เขาพะเนินทุ่ง
อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ 50 กิโลเมตร เป็นเขาที่สูงประมาณ 1,207 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จึงมีความหนาวเย็นตลอดปี บนยอดเขาปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าและไม้ต้นเล็กๆ ประกอบด้วยทิวทัศน์ที่งดงามทั้งยามปกติ และยามมีทะเลหมอกในช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูฝนหนาวที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง การเดินเท้าขึ้นยอดเขาพะเนินทุ่งมี 2 เส้นทาง เส้นทางแรกเริ่มจาก กม. ที่ 27.5 ของเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง โดยเดินข้ามลำธารหลายสายก่อนขึ้นถึงยอดเขา ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง อีกเส้นทางหนึ่งเริ่มจากบริเวณ กม. ที่ 30 ของเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง แต่ต้องข้ามเนินเขาหลายลูก ผู้สนใจต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่ช่วยนำทาง
เนื่องจากเส้นทางบ้านกร่าง-เขาพะเนินทุ่ง เป็นเส้นทางที่ลาดชัน บางช่วงแคบ ผ่านหน้าผา อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจึงกำหนดเวลาขึ้น-ลงสำหรับรถยนต์ที่ใช้เส้นทางนี้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ดังนี้
รอบที่ 1. เวลาขึ้นจากบ้านกร่าง 05.30 - 08.00 น. เวลาลงจากพะเนินทุ่ง 10.00 - 12.00 น.
รอบที่ 2. เวลาขึ้นจากบ้านกร่าง 13.00 - 15.00 น. เวลาลงจากพะเนินทุ่ง 16.00 - 17.00 น. ซึ่งในช่วงฤดูฝน การท่องเที่ยวและพักแรมบริเวณบ้านกร่าง-เขาพะเนินทุ่ง ไม่สะดวกอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่นักท่องเที่ยว และก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติสูง จึงมีกำหนดปิดการท่องเที่ยวและพักแรม เฉพาะบริเวณบ้านกร่างและเขาพะเนินทุ่ง ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม ของทุกปี เพื่อความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว และเปิดโอกาสให้ธรรมชาติได้มีโอกาสฟื้นตัว กิจกรรม : - ชมพรรณไม้ - แคมป์ปิ้ง - ชมทิวทัศน - ดูดาว - ดูนก - เดินป่าระยะไกล


จุดชมทะเลหมอก กม.36 สามารถชมทะเลหมอกได้เกือบตลอดปี จุดชมวิวนี้อยู่บริเวณ กม.ที่ 36 ของเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง ก่อนถึงทางลงสู่น้ำตกทอทิพย์ ในยามเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกสีขาวปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อทะเลหมอกสลายตัวไปแล้วจะมองเห็นผืนป่าดงดิบเบื้องล่างเบียดตัวกันแน่นท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตา บางครั้งอาจพบนกกกและนกเงือกกรามช้างบินอยู่เหนือผืนป่า การเดินทางขึ้นสู่จุดชมทะเลหมอกใช้เส้นทางขึ้นเขาที่มีกำหนดเวลาแน่นอนในการขับรถยนต์ขึ้นเขาและลงเขา ต้องกางเต็นท์พักแรมที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติชั่วคราว (พะเนินทุ่ง) บริเวณ กม.30 เพื่อตื่นขึ้นมาชมทะเลหมอกในยามเช้า กิจกรรม : - ชมทิวทัศน


ชมความงามริมทางสายวังวน-น้ำตกทอทิพย์
เป็นเส้นทางเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติประมาณ 34.5 กิโลเมตร ระหว่างทางสามารถชมทิวทัศน์ได้ตลอดสายเห็นภูเขา ทะเลหมอก ป่าเขียวขจี และพบเห็นสัตว์นานาชนิด กิจกรรม : - ชมทิวทัศน - ดูนก - เดินป่าศึกษาธรรมชาติ

ชมความงามสองฝั่งแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำบางกลอย
มีทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำสวยงามตลอดสาย หากมีการล่องแพก็สามารถเห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด กิจกรรม : - ล่องแพ/ล่องเรือ

ถ้ำค้างคาว
มีหลืบหินและปล่องถ้ำสวยงามระหว่างการเดินทางเข้าถ้ำ สามารถชมทิวทัศน์ของป่าและภูเขาได้ กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา

ถ้ำวิมาน
มีหินงอกหินย้อยสวยงาม อากาศเย็นสบาย ภายในถ้ำพบร่องรอยของมนุษย์โบราณ เช่น เศษกระเบื้อง และขวานหินใกล้ถ้ำ บริเวณใกล้ถ้ำมีน้ำตกห้วยปลาก้าง มีความสูง 3 ชั้น กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา

ถ้ำหัวช้าง
อยู่ตรงบริเวณเทือกเขาสามยอด และบริเวณถ้ำวิมาน มีหินงอก หินย้อย ซึ่งธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้อย่างสวยงามยิ่ง ภายในถ้ำยังมีหลักฐานและร่องรอยของมนุษย์โบราณ กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา


ทะเลสาปอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน
เนื้อที่ประมาณ 46.5 ตารางกิโลเมตร (26,325 ไร่) เกิดจากการสร้างเขื่อนดินปิด 3 ช่องทางระหว่างหุบเขา ทำให้น้ำเอ่อล้นท่วมแก่งน้ำเดิม เป็นพื้นน้ำอาณาเขตกว้างขวางจากยอดเขาเนินเขาหลากเป็นเกาะโผล่พ้นน้ำถึง 30-40 เกาะ ก่อให้เกิดทิวทัศน์งดงามยิ่งเหมาะสำหรับการนั่งเรือชมทัศนียภาพและชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สันเขาตะนาวศรี กิจกรรม : - แคมป์ปิ้ง - ล่องแพ/ล่องเรือ - ดูผีเสื้อ


น้ำตกกระดังลา
อยู่ทางตอนเหนือของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ท้องที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง มีความสูง 3 ชั้น กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกชลนาฎ
มีความสูง 3 ชั้น เป็นน้ำตกที่มีผาน้ำตกสูงที่สุดของน้ำตกในเขตอุทยานห่งชาติแก่งกระจาน สูงประมาณ 150-200 เมตร อยู่ใกล้เคียงกับน้ำตกป่าละอู อยู่ในท้องที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก


น้ำตกทอทิพย์
อยู่ห่างจากยอดเขาพะเนินทุ่งประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งสามารถจะเดินทางไปชมโดยทางรถยนต์ ตัวน้ำตกมีถึง 18 ชั้น นอกจากนี้ในบริเวณพื้นที่อันเป็นพื้นต้นน้ำมีลำธารที่งดงาม ของแม่น้ำเพชรบุรี และในบริเวณส่วนนี้ยังประกอบด้วยจุดที่น่าสนใจอีกหลายอย่างทั้งน้ำตกอื่น ๆ เช่น น้ำตกปราณบุรี (น้ำตกธารทิพย์หรือน้ำตก 5 ชั้น) น้ำตกแม่เสลียง น้ำพุร้อน เป็นที่มหัศจรรย์ยิ่งในความงามของธรรมชาติของป่าดิบชื้นอันประกอบด้วย ดงไม้งามสูงใหญ่เป็นมนต์ขลังของป่าใหญ่ กิจกรรม : - เดินป่าศึกษาธรรมชาติ - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกธารทิพย์
มีความสูง 7 ชั้น มีน้ำไหลตลอดปีอยู่ใกล้กับน้ำตกทอทิพย์และน้ำตกหินลาด กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกปรานบุรี
มีความสูง 3 ชั้น อยู่ใกล้กับเส้นทางสายวังวน-น้ำตกทอทิพย์ (บริเวณ กม. 23) มีน้ำไหลตลอดปี กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกป่าละอู
อยู่ทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในท้องที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีความสูง 16 ชั้น มีน้ำไหลตลอดปี ปัจจุบันได้พัฒนาบ้างแล้ว ประชาชนนิยมไปท่องเที่ยวกันมาก กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกแม่สะเลียงหรือน้ำตกเสลียง
มีความสูง 3 ชั้น น้ำไหลตลอดปี อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 34 กม. ถึงทางแยกตรง กม. 27 แล้วเดินทางไปทางทิศตะวันตกอีก 5 กม. เหมาะแก่การท่องเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งและเดินป่า กิจกรรม : - เดินป่าระยะไกล - แคมป์ปิ้ง - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกห้วยป่าเลา
มีทั้งหมด 7 ชั้น อยู่ใกล้เคียงกับน้ำตกป่าละอู อยู่ในท้องที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก


น้ำตกหัวป่าเงา
อยู่ทางด้านใต้ของพื้นที่มีน้ำตกใหญ่น้อยมากมาย รวมเป็นกลุ่มได้ถึง 4 กลุ่ม มีเส้นทางเข้าถึงสะดวก อยู่ในท้องที่ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตติดต่อกับโครงการพระราชดำริห้วยสัตว์ใหญ่ กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

น้ำตกหินลาด
มีความสูง 5 ชั้น มีน้ำไหลตลอดปีอยู่ใกล้กับน้ำตกทอทิพย์และน้ำตกธารทิพย์ กิจกรรม : - เที่ยวน้ำตก

ผสามารถชมได้จากริมชายฝั่งลำน้ำเพชรบุรี หากมีการท่องเที่ยวโดยการล่องแก่ง แม่น้ำเพชรบุรี มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลหยดลงสู่แม่น้ำเพชรบุรีอยู่ตลอดเวลา ในฤดูฝน น้ำจะหยดเป็นสาย ก่อให้เกิดแผงมอสคลุมเขียวไปทั้งหน้าผา กิจกรรม : - ล่องแพ/ล่องเรือ - ชมทิวทัศน
ผาน้ำหยด

ลานหนุมานหรือเขาประการัง
ลักษณะของภูเขาเป็นหินที่มีรูปร่างลักษณะแปลกตาคล้ายประการัง บริเวณนี้มีลิง ค่างและชะนี เป็นจำนวนมาก และยังเป็นสถานที่ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง กิจกรรม : - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา - ชมทิวทัศน - ดูนก - ดูผีเสื้อ

สถานที่ติดต่อและการเดินทาง
สถานที่ติดต่อ
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานต.แก่งกระจาน,อ. แก่งกระจาน จ. เพชรบุรี 76170

การเดินทาง
รถยนต์

ไปตามเส้นทางเพชรเกษมมุ่งลงใต้ผ่านอำเภอท่ายาง ถึงสี่แยกเขื่อนเพชร ระยะทางราว 20 กิโลเมตร แยกขวาเข้าไปตามเส้นทางไปเขื่อนเพชร ตามทางลาดยางลึกเข้าไปอีกประมาณ 38 กิโลเมตร ผ่านบ้านช่อง ผ่านเข้าสู่บริเวณเขตเขื่อนดินแก่งกระจานเลียบตามถนนลาดยางขอบอ่าง จากตัวเขื่อนอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
บริการด้านการขนส่ง
เช่ารถตู้
บริการเพื่ออำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ซึ่งการเช่านี้เป็นการเช่ารถพร้อมคนขับโดยไม่รวมค่าน้ำมัน และค่าธรรมเนียมผ่านทางต่างๆ
เช่าเรือ
บริการให้เช่าเรือแก่ผู้เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล
บริการรับ-ส่ง
บริการรับ-ส่ง ให้แก่ผู้ที่จะเดินทางไป-กลับระหว่างสนามบิน/สถานีขนส่ง/ท่าเรือ/สถานที่พักกับอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และ/หรือ สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
ตั๋วโดยสาร
บริการจองตั๋วโดยสารเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน และ/หรือ สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งทางเครื่องบิน รถโดยสาร รถไฟ และเรือ
ค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานแห่งชาติ
ผู้ใหญ่ คนละ 20-80 บาท (ขึ้นอยู่กับอุทยานฯ)
เด็ก คนละ 10-40 บาท (ขึ้นอยู่กับอุทยานฯ)
กรณีเป็นเด็กอายุต้องต่ำกว่า 14 ปี แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 3 ปี จักไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
กรณีเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ให้เก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสำหรับเด็ก รถจักรยาน 10 บาท/คัน
รถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน
รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน
รถยนต์ 6 ล้อ 100 บาท/คัน
รถยนต์ไม่เกิน 10 ล้อ 200 บาท/คัน-->



18 วิธีประหยัดน้ำ

18 วิธีประหยัดน้ำ

1.ใช้น้ำอย่างประหยัด หมั่นตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ เพื่อลดการสูญเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์
2.ไม่ควรปล่อยให้น้ำไหลตลอดเวลาตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด และถูสบู่ตอนอาบน้ำ เพราะจะสูญน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ นาทีละหลาย ๆ ลิตร
3.ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือ เพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือจะใช้เวลามากกว่าใช้สบู่เหลว และการใช้สบู่เหลวที่ไม่เข้มข้น จะใช้น้ำน้อยกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวเข้มข้น
4.ซักผ้าด้วยมือ ควรรองน้ำใส่กาละมังแค่พอใช้ อย่าเปิดน้ำไหลทิ้งไว้ตลอดเวลาซัก เพราะสิ้นเปลืองกว่าการซักโดยวิธีการขังน้ำไว้ในกะละมัง
5.ใช้ Sprinkler หรือฝักบัวรดน้ำต้นไม้แทนการฉีดน้ำด้วยสายยาง จะประหยัดน้ำได้มากกว่า
6.ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำไหลตลอดเวลาในขณะที่ล้างรถ เพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋องหรือภาชนะบรรจุน้ำ จะ7.ลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตรต่อการล้างหนึ่งครั้ง
8.ไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะมีความสิ้นเปลืองน้ำแล้ว ยังทำให้เกิดสนิมที่ตัวถังได้ด้วย
9.ตรวจสอบท่อน้ำรั่วภายในบ้าน ด้วยการปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้าน หลังจากที่ทุกคนเข้านอน (หรือเวลาที่แน่ใจว่า ไม่มีใครใช้น้ำระยะหนึ่ง จดหมายเลขวัดน้ำไว้ ถ้าตอนเช้ามาตรเคลื่อนที่ โดยที่ยังไม่มีใครเปิดน้ำใช้ ก็เรียกช่างมาตรวจซ่อมได้เลย)
10.ควรล้างพืชผักและผลไม้ในอ่างหรือภาชนะที่มีการกักเก็บน้ำไว้เพียงพอ เพราะการล้างด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อกน้ำโดยตรง จะใช้น้ำมากกว่า การล้างด้วยน้ำที่บรรจุไว้ในภาชนะถึงร้อยละ 50
11.ตรวจสอบชักโครกว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ ให้ลองหยดสีผสมอาหารลงในถังพักน้ำ แล้วสังเกตุดูที่คอห่าน หากมีน้ำสีลงมาโดยที่ไม่ได้กดชักโครกให้รีบจัดการซ่อมได้เลย
12.ไม่ใช้ชักโครกเป็นที่ทิ้งเศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิด เพราะจะทำให้สูญเสียน้ำจากการกดชักโครก เพื่อไล่สิ่งของลงท่อ
13.ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น ชักโครกประหยัดน้ำ ฝักบัว ประหยัดน้ำ ก๊อกประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัดน้ำ เป็นต้น
14.ติด Areator หรือ อุปกรณ์เติมอากาศที่หัวก๊อก เพื่อช่วยเพิ่มอากาศให้แก่น้ำที่ไหลออกจาก หัวก๊อก ลดปริมาณการไหลของน้ำ ช่วยประหยัดน้ำ
15.ไม่ควรรดน้ำต้นไม้ตอนแดดจัด เพราะน้ำจะระเหยหมดไปเปล่า ๆ ให้รดตอนเช้าที่อากาศ ยังเย็นอยู่ การระเหยจะต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดน้ำ
16.อย่าทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้ว โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด ใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิว ใช้ชำระความสะอาดสิ่งต่าง ๆ ได้อีกมาก
17.ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม และให้ผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเองและ ควรดื่มให้หมดทุกครั้ง
18.ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้จะประหยัดน้ำได้มากกว่าการล้างจานด้วยวิธีที่ปล่อยให้น้ำไหลจากก๊อกน้ำตลอดเวลา
19.ติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและจ่ายน้ำภายในอาคาร

อุทยานเขาใหญ่

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีอาณาเขตครอบคลุม 11 อำเภอของ 4 จังหวัด คือ จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครนายก ได้รับสมญานามว่าเป็นอุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นป่าผืนใหญ่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรักในส่วนหนึ่งของดงพญาไฟหรือดงพญาเย็นในอดีต ประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำนครนายก แม่น้ำมูล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า กวาง เก้ง กระทิง เสือ ตลอดจนมีลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงาม มีเนื้อที่ 2,168.64 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,355,396.96 ไร่
ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพทั่ว ๆ ไปของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนกันหลายลูก ได้แก่ เขาร่ม ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด 1,351 เมตร เขาแหลมสูง 1,326 เมตร เขาเขียวสูง 1,292 เมตร เขาสามยอดสูง 1,142 เมตร เขาฟ้าผ่าสูง 1,078 เมตร เขากำแพงสูง 875 เมตร เขาสมอปูนสูง 805 เมตร และเขาแก้วสูง 802 เมตร ซึ่งวัดความสูงจากระดับน้ำทะเลเป็นเกณฑ์ และยังประกอบด้วยทุ่งกว้างสลับกับป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ด้านทิศเหนือและตะวันออกพื้นที่จะลาดลง ทางทิศใต้และตะวันตกเป็นที่สูงชันไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่สำคัญถึง 5 สาย ดังนี้
แม่น้ำปราจีนบุรีและแม่น้ำนครนายก ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเกษตรกรรมและระบบทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้ แม่น้ำทั้ง 2 สายนี้ มาบรรจบกันที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กลายเป็นแม่น้ำบางปะกงแล้วไหลลงสู่อ่าวไทย
แม่น้ำลำตะคองและแม่น้ำพระเพลิง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางทิศเหนือ ไหลไปหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมของที่ราบสูงโคราช ไปบรรจบกับแม่น้ำมูล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภาคอีสานตอนล่างไหลลงสู่แม่น้ำโขง
ห้วยมวกเหล็ก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งมีปริมาณน้ำไหลตลอดทั้งปีและ ให้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะการปศุสัตว์ของภูมิภาคนี้ ไหลลงสู่แม่น้ำป่าสัก ที่อำเภอมวกเหล็ก
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพป่ารกทึบได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมทำให้เกิดฝนตกชุกตามฤดูกาล อากาศไม่ร้อนจัดและหนาวจัดจนเกินไป จัดอยู่ในประเภทเย็นสบายตลอดทั้งปี เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวและประกอบกิจกรรมนันทนาการชนิดต่าง ๆ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 23 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าวในที่อื่น แต่ที่เขาสูงบนเขาใหญ่อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อน และไม้ป่ามีดอกหลากสีบานสะพรั่งบ้างออกผลตามฤดูกาล
ฤดูฝน เป็นช่วงหนึ่งของปีที่สภาพบนเขาใหญ่ชุ่มฉ่ำ ป่าไม้ทุ่งหญ้าเขียวขจีสดสวย น้ำตกทุกแห่งไหลแรงส่งเสียงดังก้องป่าให้ชีวิตชีวาแก่ผู้ไปเยือน แม้การเดินทางจะลำบากกว่าปกติแต่จำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่ลดน้อยลงเลย
ฤดูหนาว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นฤดูที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเขาใหญ่มากที่สุด ท้องฟ้าสีครามแจ่มใสตัดกับสีเขียวขจีของป่าไม้ พยับหมอกที่ลอยเอื่อยไปตามทิวเขา ดวงอาทิตย์กลมโตอยู่เบื้องหน้าไกลโพ้น อากาศหนาวเย็นในเวลากลางคืน แต่รุ่งเช้าของวันใหม่เราจะพบกับธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างไปจากเมื่อวานอีกแบบหนึ่งกิจกรรมเล่นแค้มป์ไฟ เหมาะสมในฤดูนี้มาก
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
ป่าเบญจพรรณแล้ง ลักษณะของป่าชนิดนี้อยู่ทางด้านทิศเหนือ ซึ่งมีระดับความสูงระหว่าง 200-600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ประกอบด้วยไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบ เช่น มะค่าโมง ประดู่ ตะแบก ตะเคียนหนู แดง นนทรี ซ้อ ปออีเก้ง สมอพิเภก ตะคล้ำ เป็นต้น พืชชั้นล่างมีไม้ไผ่และหญ้าต่าง ๆ รวมทั้งกล้วยไม้ด้วย ในฤดูแล้งป่าชนิดนี้จะมีไฟลุกลามเสมอ และตามพื้นป่าจะมีหินปูนผุดขึ้นอยู่ทั่ว ๆ ไป
ป่าดงดิบแล้ง ลักษณะป่าชนิดนี้มีอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบลูกเนินในระดับความสูง 200-600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไม้ชั้นบน ได้แก่ ไม้ยางนา พันจำ เคี่ยมคะนอง ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ตะแบก สมพง สองสลึง มะค่าโมง ปออีเก้ง สะตอ ซาก และคอแลน เป็นต้น ไม้ยืนต้นชั้นรองมี กะเบากลัก หลวงขี้อาย และกัดลิ้น เป็นต้น พืชจำพวกปาล์ม เช่น หมากลิง และลาน พืชชั้นล่างประกอบด้วยพืชจำพวกมะพร้าว นกคุ้ม พวกขิง ข่า กล้วยป่าและเตย เป็นต้น
ป่าดงดิบชื้น ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล จะมีชนิดไม้คล้ายคลึงกับป่าดงดิบแล้ง เพียงแต่ว่าไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ยางกล่อง ยางขน ยางเสี้ยน และกระบาก โดยเฉพาะพื้นที่ถูกรบกวนจะพบ ชมพู่ป่าและกระทุ่มน้ำขึ้นอยู่ทั่วไป พรรณไม้ผลัดใบ เช่น ปออีเก้ง สมพง และกว้าว แทบจะไม่พบเลย บริเวณริมลำธารมักจะมีไผ่ลำใหญ่ๆ คือ ไผ่ลำมะลอกขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม นอกจากไม้ยางแล้วไม้ชั้นบนชนิดอื่น ๆ ยังมี เคี่ยมคะนอง ปรก บรมือ จำปีป่า พะดงและทะโล้ ไม้ชั้นรอง ได้แก่ ก่อน้ำ ก่อรัก ก่อด่าง และก่อเดือย ขึ้นปะปนกัน
ป่าดิบเขา ป่าชนิดนี้เกิดอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นบนภูเขาสูง ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตรขึ้นไป สภาพป่าแตกต่างไปจากป่าดงดิบชื้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่เลย พรรณไม้ที่พบเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น พญาไม้ มะขามป้อมดง ขุนไม้ และสนสามพันปี และ ไม้ก่อชนิดต่าง ๆ ที่พบขึ้นในป่าดงดิบชื้น นอกจากก่อน้ำและก่อต่าง ๆ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 600-900 เมตรเท่านั้น ตามเขาสูงจะพบต้นกำลังเสือโคร่งขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ไม้ชั้นรอง ได้แก่ เก็ดล้านส้มแปะ แกนมอ เพลาจังหัน และหว้า พืชชั้นล่าง ได้แก่ ต้างผา กำลังกาสาตัวผู้ กูด และกล้วยไม้ดิน
ทุ่งหญ้าและป่ารุ่นหรือป่าเหล่า ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นผลเสียเนื่องจากการทำไร่เลื่อนลอยในอดีตก่อนมีการจัดตั้งป่าเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติได้มีราษฎรอาศัยอยู่และได้แผ้วถางป่าทำไร่ เมื่อมีการอพยพราษฎรลงไปสู่ที่ราบ บริเวณไร่ดังกล่าวถูกปล่อยทิ้ง ต่อมามีสภาพเป็นทุ่งหญ้าคาเสียส่วนใหญ่ บางแห่งมีหญ้าแขม หญ้าพง หญ้าขนตาช้างเลา และตองกง และยังมีกูดชนิดต่าง ๆ ขึ้นปะปนอยู่ด้วย เช่น โขนใหญ่ กูดปี้ด โขนผี กูดงอดแงด และกูดตีนกวางสัตว์ป่าสัตว์ป่าที่สามารถพบได้บ่อย ๆ และตามโอกาสอำนวย ได้แก่ เก้ง กวาง ตามทุ่งหญ้าทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ยังพบ ช้าง เสือโคร่ง กระทิง เลียงผา หมี เม่น ชะนี พญากระรอก หรือ หมาไม้ ชะมด อีเห็น กระต่ายป่า นกชนิดต่าง ๆ จำนวน 200 ชนิด จากจำนวนไม่น้อยกว่า 293 ชนิด ที่สำรวจพบอาศัยอยู่บริเวณป่าเขาใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งหาอาหารและที่อาศัยอย่างถาวร นกที่น่าสนใจและพบเห็นได้บ่อย ได้แก่ นกเงือก นกขุนทอง นกขุนแผน นกพญาไฟ นกแต้วแล้ว นกโพระดก นกแซงแซว นกเขา นกกระปูด ไก่ฟ้า และนกกินแมลงชนิดต่าง ๆ นกเงือกทั้ง 3 ชนิด ที่พบบนเขาใหญ่นับว่าเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชอบดูนกเป็นอย่างดี เพราะพบเห็นได้ทั่วไป พวกแมลงที่มีมากกว่า 5,000 ชนิด ที่สวยงามและพบเห็นบ่อย ได้แก่ ผีเสื้อที่มีรายงานพบกว่า 216 ชนิด

สมุนไพรเพื่อความงาม

สมุนไพรเพื่อความงาม
หากพูดถึง "ความงาม" แล้ว คุณผู้หญิงหรือท่านผู้ชายก็คงจะไม่ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต แต่ถ้าเราจะมองกันไปแล้ว "ความงาม" นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตัวของเรามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน โดยปกติสุขภาพจะดีมาก-น้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม การรับประทานอาหาร และการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข เมื่อร่างกายกินได้ ถ่ายคล่อง ผิวพรรณดี และสุขภาพแจ่มใส " ความงาม" ก็จะบังเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในหนังสือ "Asian secret of health, beauty, and relaxation" ได้กล่าวถึงว่า ร่างกายและจิตใจ จัดได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ เป็น องค์รวม อย่างที่ภาษาที่นิยมกันในปัจจุบัน ภาวะอารมณ์จะเป็นตัวกำหนดหรือควบคุมให้ร่างกายหลั่งสารออกมา เมื่อเรามีอารมณดีร่างกายก็จะมีการหลั่งสารที่ทำให้ร่างกายนั้นรู้สึกสบาย การออกกำลังกายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี ดังเช่น โยคะ ไท้เก๊ก จะเป็นวิถีการออกกำลังกายโดยจะควบคู่ไปกับการทำสมาธิทำให้จิตใจปลอดโปร่งในปัจจุบันมีการนำสมุนไพรหรือสารสกัดจากสมุนไพรมาใช้เป็นองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม หรือ เครื่องสำอางกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มของการกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ ไร้สารปรุงแต่งจากสารเคมีสังเคราะห์กันมากขึ้นนั่นเอง แล้วสมุนไพรจะมีส่วนไปส่งเสริมความงามได้อย่างไร สมุนไพรที่จะไปเกี่ยวข้องกับความงามนั้นสามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามส่วนของร่างกายดังนี้
สมุนไพรเพื่อความงามของเส้นผม
เส้นผมที่มีสุขภาพดี ควรมีลักษณะเป็นเส้นผมที่มีความแวววาว มีน้ำหนัก และไม่มีรังแค การที่จะทำให้ผมมีสุขภาพดีนั้น ปัจจัยที่ส่งเสริมที่สำคัญก็คือการใช้ "แชมพู" ซึ่งควรใช้ควบคู่ไปกับครีมนวดผม เพื่อความอ่อนนุ่มของเส้นผม ส่วนประกอบของแชมพู นั้นจะประกอบด้วยสารหลักๆ ได้แก่ สารลดแรงตึงผิว สารก่อทำให้เกิดความคงตัว สารคอนดิชั่นเนอร์ สารกันเสีย สารแต่งสี และแต่งกลิ่น "แชมพู" ควรมีคุณสมบัติไปทำความสะอาดเส้นผม มีฟองที่นุ่มเนียน ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผมในปัจจุบันที่มีขายตามท้องตลาดนั้นมักจะมีองค์ประกอบเป็นสารสกัดที่ได้จากสมุนไพร เช่น อัญชัน ขมิ้นชัน มะกรูด กะเม็ง ประคำดีควาย ฯลฯ
สมุนไพรเพื่อความงามของใบหน้า
ผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบางและไวต่อการตอบสนอง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดปัจจุบันก็มักจะมีติดฉลากว่าได้มีผ่านการทดสอบการแพ้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามความไวของผิวหน้าในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเราต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผิวหน้าแล้วควรจะมีการทดสอบด้วยตัวเองเสียก่อน โดยการทาบริเวณใต้ท้องแขน เพื่อทดสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นทำให้เกิดผื่นหรือก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไม่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้านั้นก็ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น โดยผลิตภัณฑ์จะมีสารสกัดจากสมุนไพรเป็นองค์ประกอบ ซึ่งในสมุนไพรที่ได้จากพืชจะมีกรดจากธรรมชาติที่จะทำหน้าที่กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไป และในสมุนไพรบางชนิดยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดการเกิดสิวได้อีกด้วย ผลจากการหลุดลอกของเซลล์จะทำให้ผิวบางลง ดังนั้นจึงควรป้องกันผิวหน้าด้วยการใช้ครีมกันแดด เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายผิวหน้าใหม่จากแสงแดดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว อาจจะอยู่ในรูปของเจลล้างหน้า ครีมล้างหน้า เช่น เจลล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมะขามและชะเอมเทศ เจลแตงกวา เจลล้างหน้าที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ เป็นต้น ลักษณะของเจลหรือครีมล้างหน้าที่ดี นั้นควรมีความคงตัวดี สวยงามดึงดูดใช้ผู้ใช้ มีความอ่อนตัวเมื่อทาบนผิวหนังและสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้ดี ทำให้ใบหน้าสะอาดและอ่อนนุ่ม ก่อให้เกิดฟิล์มบางๆ บนใบหน้า ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น หรืออยู่ในรูปของครีมบำรุงผิว เช่น ครีมที่ส่วนผสมของสารสกัดจากขมิ้น ครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุด เป็นต้น ภายในเนื้อครีมก็จะประกอบด้วยสารที่ให้ความชุ่มชื้น สารเพิ่มความข้นหนืด สารทำอิมัลชัน สารกันเสีย สารต้านออกซิเดชัน สารแต่งสี และสารแต่งกลิ่น เพื่อเพิ่มความน่าใช้ของผลิตภัณฑ์ สมุนไพรที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่รู้จักกันมานาน เห็นจะเป็น "แตงกวา" นั่นเอง การใช้แตงกวาฝานบางๆ ผสมกับน้ำผึ้งและมะนาว พอกหน้าเป็นเวลา 15 นาที จะมีผลทำให้ผิวหน้าได้รับความชุ่มชื้น ผิวหน้าจะมีลักษณะนุ่ม และแตงกวามีคุณสมบัติการสมานผิว กระชับรูขุมขนอีกด้วย
สมุนไพรเพื่อความงามของผิวพรรณ
ผิวพรรณที่ดีควรมีลักษณะนุ่มและชุ่มชื้น ผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้นั้นวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ก็เพื่อการทำความสะอาดผิวของร่างกาย "สบู่ก้อน" ก็เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่มีการนำสารสกัดจากสมุนไพรมาเป็นส่วนประกอบกันอย่างแพร่หลาย เนื้อของสบู่ก้อนนั้นเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างด่างกับกรดไขมัน สารสกัดสมุนไพรที่สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์ของสบู่ก้อน ได้แก่ เปลือกมังคุด ฟ้าทะลายโจร ขมิ้น ฯลฯ นอกจากนี้อาจจะพบผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปของเจลขัดผิว เช่น เจลขัดผิวที่มีส่วนผสมของมะขาม น้ำผึ้ง ขมิ้นชัน และผงขิง ได้อีกด้วย ในหนังสือ "Asian secret of health, beauty, and relaxation" นั้นได้แนะนำตำรับสมุนไพรเพื่อความงามของรูปร่างไว้ตามภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวชวา ดังนี้Java Wrap ซึ่งเป็นวิธีการรักษาผิวพรรณของหญิงพื้นเมืองของชาวชวา ซึ่งมีส่วนประกอบได้แก่ น้ำมันยูคาลิปตัส เปลือกหอยบดละเอียด น้ำมะนาว ใบพลู และน้ำมันสะระแหน่ โดยจะนำมาผสมรวมกันให้ได้เนื้อเหลวลักษณะคล้ายครีมหนืดๆ โดยให้ทาบริเวณรอบเอวและท้อง ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ใช้ผ้าคอตต้อนมาพันให้รอบประมาณ 20 นาที จากนั้นจึงล้างออกตามด้วยครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวBali Kopi Wrap เป็นตำรับที่ใช้ขัดผิวของชายชวา มีส่วนประกอบเป็นเมล็ดกาแฟ เถ้าคาโอลิน หินพรุนบดละเอียด ผลแครอท และเจลาติน โดยนำสามส่วนแรกมาผสมรวมกัน เติมน้ำพอจับเป็นของเหลวหนืด นำไปขัดให้ทั่วร่างกาย จากนั้นจึงตามด้วยส่วนผสมของแครอทและเจลาติน ซึ่งองค์ประกอบสองอย่างนี้จะไปทำให้ลดการสูญเสียความชื้นออกจากผิวหนัง จากนั้นก็ทำการล้างออก ตามด้วยครีมให้ความชุ่มชื้นของผิว
สมุนไพรเพื่อความงามของเท้า
เท้าควรได้รับการดูแลโดยการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ การดูแลสุขภาพของเท้านั้นก็สามารถทำได้ ก็การพักเท้าด้วยการใช้น้ำอุ่นสลับกับการใช้น้ำเย็น อาศัยหลักการของ "Hydrotherapy" หรือการนวดเท้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงบริเวณเท้าได้ดี การนวดอาจใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เช่น ไพล เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย หรือ น้ำหอมระเหยบางชนิด จะทำให้เท้าได้รับการผ่อนคลายได้อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าสมุนไพรนั้นได้มีส่วนส่งเสริมให้เกิดความงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะอยู่ในรูปของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า การที่จะใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อความงามนั้นก็ควรจะคำนึงถึงข้อบ่งใช้ว่า เพื่อการเป็นเครื่องสำอาง หรือเพื่อการรักษา วิจารณญานจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่ตัดสินควบคู่กันไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การที่เราจะมีความงามอย่างเป็นธรรมชาตินั้น ปัจจัยที่สำคัญก็คือการมีสุขภาพกายและสุขภาพใจดีนั่นเอง

การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคืออะไร
คือ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิตและปอด โดยมีขบวนการใช้ออกซิเจน ในขบวนการเผาผลาญ เพื่อให้เกิดพลังงานสำหรับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จึงมีชื่อเรียกการออกกำลังกายชนิดนี้ว่า AEROBIC EXERCISE
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
1. ระบบไหลเวียนโลหิต
1.1 ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงมากขึ้น สามารถสูบฉีดโลหิตได้ปริมาณมากขึ้น
1.2 เพิ่มหลอดโลหิตฝอยมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น
1.3 ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งในขณะพัก และออกกำลังกาย ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
1.4 ลดแรงต้านทานส่วนปลายของหลอดโลหิตฝอยทำให้ความดันโลหิตลดลง ทั้งขณะพัก และออกกำลังกายลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต สูง2. ระบบหายใจ
2.1 ความจุปอดเพิ่มขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมากขึ้น
2.2 เพิ่มปริมาณโลหิตไปสู่ปอด ทำให้การไหลเวียนของปอดดีขึ้น
2.3 เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ทำให้ประสิทธิภาพการ หายใจดีขึ้น
3. ระบบชีวเคมีในเลือด
3.1 ลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) จึงลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และ โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน
3.2 เพิ่ม HDL Cholesterol ซึ่งช่วยลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
3.3 ลดน้ำตาลส่วนเกินในเลือด เป็นการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
4. ระบบประสาทและจิตใจ
4.1 ลดความวิตกกังวลและคลายความเครียด
4.2 มีความสุขและรู้สึกสบายใจจากสาร Endorphin ที่หลั่งออกมาจากสมองขณะออกกำลังกาย
ขั้นตอนและหลักในการปฏิบัติถ้ามีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจสุขภาพ ว่ามีโรคหัวใจหรือไม่ก่อนการออกกำลังกายชนิดนี้ ควรรู้วิธีเหยียดและยืดกล้ามเนื้อ รวมทั้งอุ่นเครื่อง (Warm up) และเบาเครื่อง (Cool down) หลักในการปฏิบัติ เป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างน้อย 1 ใน 6 ส่วนของร่างกาย ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ


คำศัพท์Frequency (F) หมายถึงความถี่ในการออกกำลังกายใน 1 สัปดาห์ อย่างน้อย 3 วัน อย่างมาก 6 วันIntensity (I) หมายถึงความหนักในการออกกำลังกาย ใช้อัตราการเต้นของชีพจรเป็นเกณฑ์ ให้ได้ประมาณระหว่างร้อยละ 70-90 ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งสามารถคำนวนได้จากการนำอายุไปลบออกจากเลข 220ตัวอย่างเช่น ชายอายุ 20 ปี จะใช้ความหนักในการออกกำลังกายชนิดนี้เท่าใดคำตอบคือ (220-20)x 70 ถึง 90 หาร 100 เท่ากับ 140 ถึง 180 ครั้งต่อนาทีTime (T) หมายถึง ช่วงเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละวัน อย่างน้อย 10-15 นาที ใน 6 วัน อย่างมาก 30-45 นาทีใน 3 วัน
รูปแบบการออกกำลังกายมีหลากหลายชนิดเช่น วิ่งเหยาะ, เดินเร็ว, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค, ฟุตบอล, บาสเก็ตบอล, เทนนิส, แบดมินตัน, ตระกร้อข้ามตาข่าย, วอลเลย์บอล เป็นต้น
ข้อควรระวังควรงดการออกกำลังกาย ในขณะเจ็บป่วย มีไข้ พักผ่อนไม่พอควรออกกำลังกายก่อนอาหารหรือหลังอาหารหนักผ่านไป 3-4 ชั่วโมง และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด ฝนฟ้าคะนอง มลภาวะมากสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมควรพักหากมีอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน และไปพบแพทย์






อุปสรรคที่ทำให้คุณไม่ออกกำลังกาย
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี และอยากออกกำลังกาย แต่มักจะมีอุปสรรคนานานับประการที่มาขัดขวาง คุณเคยพบอุปสรรคเหล่านี้กับตัวคุณเองหรือเปล่า ?“ฉันมีธุระมาก ไม่มีเวลา” ในสังคมที่รีบเร่งในปัจจุบัน ทุกคนมีภาระส่วนตัวที่จะต้องทำกันท้งนั้น ยิ่งคุณมีธุระมาก คุณยิ่งต้องออกกำลังกาย เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
“ฉันไม่ชอบออกกำลังกาย” อย่าทำอะไรฝืนใจตัวเอง ถ้าคุณไม่ชอบออกกำลังกาย ลองสำรวจตัวเองว่าคุณชอบทำอะไรที่ใช้พลังงานบ้าง แล้วลองทำสิ่งนั้นให้บ่อยขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องออกไปวิ่งเพื่อลดน้ำหนักถ้าคุณไม่ชอบ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆที่ใช้พลังงานเช่น ขี่จักรยาน ทำสวน เต้นรำ เล่นโบว์ริ่ง เล่นสเก็ต หรือตีปิงปอง ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้ทำกิจกรรมเหล่านี้เลย ลองนึกถึงอดีตและหาสิ่งที่คุณเคยทำและสนุกกับมัน ลองกลับมาทำสิ่งนั้นใหม่
“ฉันแก่เกินไปแล้ว” ไม่มีใครแก่เกินไปสำหรับการออกกำลัง เพียงแต่เลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยของคุณเท่านั้น จากการวิจัยพบว่า ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุใด จะได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายเหมือนกัน
“ฉันไม่มีเวลาว่างมากพอสำหรับการออกกำลัง” คุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากขนาดนั้น เพียงคุณใช้เวลาว่าง เล็กๆน้อย ที่มีอยู่ออกกำลัง เช่นคุณอาจใช้เวลาเล่นกับสัตว์ลี้ยงของคุณให้มากขึ้นหน่อย หรือเดินมากขึ้นอีกหน่อยขณะที่คุณกำลังทำงาน
“ฉันดูเหมือนตัวตลกที่ฉันพยายามออกกำลัง” คุณไม่ได้ดูเหมือนตัวตลก แต่คุณกำลังดูเหมือนคนที่กำลังเดินไปถูกทาง และกำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในไม่ช้า
“ดูเหมือนร่างกายของฉันไม่ดีขึ้นเลย” อันที่จริงถ้าคุณลองบันทึกข้อมูลต่าง ๆ คุณจะพบว่าร่างกายของคุณกำลังจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ลองบันทึกจำนวนชั้นที่คุณสามารถเดินขึ้นลงในแต่ละวัน หรือเวลาที่คุณใช้ในการเดินในแต่ละวัน คุณจะพบว่าคุณกำลังพัฒนาไปเรื่อย
“ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ ฉันไม่มีเงินที่จะไปออกกำลังตามสถานบริหารร่างกาย หรือไม่มีเงินซื้อเครื่องมือที่ใช้ในการออกกำลังกายได้หรอก” คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงิน การทำงานบ้าน เป็นการออกกำลังที่ดีเช่นเดียวกัน การเดินก็เป็นการออกกำลังที่ดี คุณอาจไปเดินตามสวนสาธารณะ หรือไปเดินเล่นตามศูนย์การค้า
“ฉันมักจะออกกำลังกายได้พักหนึ่งก็เลิก” ไม่ใช่เพียงแต่คุณที่เป็นอย่างนี้ พบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย หยุดออกกำลังภายใน 6 เดือน วิธีที่จะช่วยได้คือ ลองคิดถึงการออกกำลังที่สม่ำเสมอจะทำให้น้ำหนักคุณลดได้ต่อเนื่อง แต่ถ้าคุณหยุดออกกำลัง น้ำหนักคุณจะเพิ่มกลับมาใหม่ คุณต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอีก- ออกกำลังเพิ่มขึ้นทีละน้อย ให้ร่างกายของคุณค่อย ๆปรับตัว คุณอาจเพิ่ม เวลาออกกำลังมากขึ้นเพียง 5 นาทีในแต่ละเดือน- ทำสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสนุกและได้ออกกำลังด้วย ลองหาเพื่อนมาออกกำลัง ด้วยกัน- เปลี่ยนแปลงกิจวัตรของคุณบ้าง อย่าทำอะไรซ้ำซากที่อาจทำให้คุณเบื่อ
“ฉันมีโรคประจำตัว จะออกกำลังอย่างไร” ถ้าคุณอ้วนมาก ตั้งครรภ์สูบบุหรี่จัด เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืด หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ คุณอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีการออกกำลังที่เหมาะกับตัวคุณ


คำแนะนำเบื้องต้นในการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มฝึกวิ่ง
1. ในการฝึกวิ่งเพื่อสุขภาพ ต้องสวมรองเท้าสำหรับนักวิ่ง เท่านั้น อย่าใช้รองเท้าอื่นในการฝึกวิ่งไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ รองเท้าเทนนิส รองเท้าฟุตบอล รองเท้าส้นตึก ฯลฯ
2. ก่อนเริ่มวิ่งต้องวอร์มอัพร่างกาย หรืออุ่นเครื่องร่างกาย ยืดขา แกว่งมือ แกว่งขา ฯลฯ เพื่อให้โลหิตสูบฉีด ไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อเตรียมความพร้อมในการวิ่ง อย่าออกวิ่งทันทีเมื่อถึงสนามซ้อม โดยไม่ต้องวอร์มอัพร่างกายก่อน
3. เมื่อเริ่มวิ่ง 15-20 นาทีแรก ให้ออกตัววิ่ง ไปอย่างช้า ๆค่อย ๆ อุ่นเครื่อง (ร่างกาย) หัวใจจะค่อยเริ่มเต้นแรงขึ้น ทีละน้อย การทำของหัวใจและปอดจะได้ไม่หักโหม รวมทั้งแข้งขาด้วย
4. อย่าไปวิ่งแข่งกับผู้อื่น ซึ่งเขาอาจจะวิ่งจนเครื่องติดก่อนเราแล้ว ให้วิ่งไปเรื่อย ๆ ตามความเร็วที่สบาย ๆ ของตนเอง ไม่ต้องวิ่งแข่งหรือวิ่งตามใคร
5. ถ้าวิ่งเหนื่อยแล้ว ก็ให้ผ่อนความเร็วลงบ้าง อาการเหนื่อยจะค่อยทุเลาลงเอง แล้วค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นในระดับ ที่วิ่งสบาย ๆ ในการฝึกระยะแรก ๆ นักวิ่งน้องใหม่อาจจะวิ่งบ้างเดินบ้าง ไม่เป็นไร ต่อไปก็จะค่อย ๆ วิ่งช้า ๆ โดยไม่หยุด เลยจาก 5 นาที เป็น 10 หรือ 20 นาที ได้เอง
6. การฝึกวิ่งต้องใช้เวลา นักวิ่งที่น้องใหม่เห็นเขาวิ่งกันในสนามนั้น ต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปีฝึกกันมาทั้งนั้น บางคนก็วิ่งมาแล้วหลาย ๆ ปี ดังนั้นน้องหนูอย่าใจร้อน หรือคิดเอาเองว่าจะต้องวิ่งเหมือนเขา วิ่งให้เร็วเท่าเขา หรือวิ่ง ได้นานเท่าเขา !
7. ชุดวิ่งควรจะเบา และระบายความร้อนจากร่างกายได้ดี และเหมาะกับสภาวะดินฟ้าอากาศเสื้อกล้ามเหมาะ กับฤดูร้อน ชุดวอร์มเหมาะกับอากาศหนาวเย็น ชุดเท่ห์แต่ร้อนระวังลมจะใส่
8. วิ่งระยะยาวนั้น ต้องวิ่งลงด้วยส้นเท้า การวิ่งลงปลายเท้า เหมาะสำหรับวิ่งเร็ว และวิ่งระยะสั้นเท่านั้น วิ่งตัวตรง อย่าวิ่งโน้มตัวไปข้างหน้า ท่านอาจจะปวดหลังได้ เมื่อวิ่งในท่านั้นนาน ๆ
9. การบาดเจ็บเนื่องจากรองเท้าวิ่งหมดสภาพย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าใช้รองเท้าวิ่งไปนาน ๆ วิ่งแล้วเจ็บเข่าบ้าง แสดงให้เห็นว่ารองเท้าเสื่อมสภาพแล้ว ควรเปลี่ยนรองเท้าวิ่ง
10. ถ้าวิ่งในที่ไม่เรียบ ให้ตามองดูพื้น ระวังสะดุดถ้าวิ่งในที่มืดหรือสลัวๆ ไม่ค่อยเห็นทางวิ่งให้ยกเท้าสูงขึ้นเล็กน้อย ป้องกันการสดุด
11. นักวิ่งแต่ละคนจะวิ่งก้าวสั้นหรือก้าวยาวแตกต่างกันไป ลองวิ่งดูเอง ท่าวิ่งใดที่เหนื่อยน้อย และได้จังหวะวิ่งที่เลื่อน ไหลไปนั่นแหละ เป็นท่าวิ่งที่เหมาะกับเราแล้ว
12. การวิ่งต้อง ต้องแกว่งแขนให้ได้จังหวะ และอย่าเกร็ง ปล่อยตามสบาย
13. ก่อนออกวิ่งแต่ละวัน ควรตั้งเป้าหมายไว้ในใจ ว่าวันนี้จะวิ่งกี่นาที หรือวิ่งกี่รอบ แล้วพยามยามปฏิบัติตามนั้น มิฉะนั้นแล้วเราจะหยุดวิ่งตามเพื่อน พอเขาหยุดวิ่งเราก็จะเลิกวิ่งด้วย
14. ก่อนที่จะหยุดวิ่งให้ชะลอความเร็วลงทีละน้อย หรือเมื่อถึงที่หมายแล้ว ถ้าวิ่งมาด้วยความเร็วควรวิ่งชะลอ ความเร็วต่อไปอีกเล็กน้อย เพื่อให้หัวใจค่อยเต้นช้าทีละน้อย อย่าหยุดวิ่งกระทันหัน หัวใจปรับการทำงานไม่ทัน อาจเป็นอันตราย !
15. เมื่อซ้อมวิ่งเสร็จแล้ว จะต้องคูลดาวน์ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ มีท่าต่าง ๆ หลายท่า ลองขอคำแนะนำจากนักวิ่งรุ่นพี่ได้
16. ก่อนฝึกวิ่งต้องใช้ความอดทน เพราะบางครั้งนักวิ่งอาจจะรู้สึกเบื่อหน่าย อย่าท้อถอย ถ้ามีธุระจำเป็นก็หยุดได้บ้าง แต่ไม่ควรเกินสองสามวัน เดี๋ยวขี้เกียจวิ่ง แล้วต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่!
17. ถ้าไม่สบายเป็นไข้หรือท้องเสีย ควรงดการซ้อมวิ่ง ถ้าขัดเคล็ดยอก แพลง ก็ควรทุเลาการวิ่งลงหน่อย อาจออก กำลังกายแบบอื่นทดแทนได้
18. การซ้อมวิ่งต้องมีวันพักบ้าง สัปดาห์หนึ่งวิ่งได้ 4-6 วัน นับว่าใช้ได้แล้ว อย่าวิ่งตลอด 7 วัน ร่างกายต้องการพักผ่อน บ้าง
19. นักวิ่งควรรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีเส้นใยเป็นประจำทุกวันเพื่อความคล่องตัว ในการทำธุระกิจส่วนตนในตอนเช้าก่อนวิ่ง ถ้าเสริมด้วยแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส เกลือแร่ ได้ด้วยก็ดี
20. ควรดื่มน้ำหนึ่งแก้ว ก่อนออกมาซ้อมวิ่ง และพยายามดื่มน้ำให้มากทุกวัน วิ่งเสร็จแล้วก็ควรดื่มน้ำด้วย
21. นักวิ่งควรพักผ่อนหลับนอนให้เพียงพอ นอนหัวค่ำตื่นเช้ามืด ฟุตบอลหรือละครทีวีงดดูบ้างก็จะนอนได้มากขึ้น
22. ถ้าฝึกซ้อมวิ่งตามถนน ควรวิ่งสวนกับรถที่แล่นมา จะได้หลบได้ทันยังไงล่ะ ! แต่ซ้อมในสนามวิ่งจะปลอดภัยกว่า
23. ถ้าไปท่องเที่ยว หรือไป ธุระต่างจังหวัดหลายวัน ควรนำรองเท้าติดตัวไปซ้อมด้วย ก่อนเข้านอนก็ลองสำรวจ สถานที่ดูเถิด คุณจะหาสถานที่วิ่งได้เองแหละ ระวังหมาหน่อยก็แล้วกัน!!
24. เพื่อความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่นักวิ่ง ควรงดการวิจารณ์พฤติกรรมการวิ่งของผู้อื่น ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว ความถี่ในการซ้อมวิ่ง การลงวิ่งในสนามจริง การมาสนามซ้อม ฯลฯ
25. พยายามพูดให้กำลังใจนักวิ่งน้องใหม่ด้วยกัน พอวิ่งได้แล้วก็ชักชวนผู้อื่น ให้ลองเริ่มฝึกเดิน - วิ่ง บ้าง จะได้ กุศลแรง !
26. นักวิ่งน้องใหม่ อย่าใจร้อนถ้าจะลงวิ่ง 10 กิโลเมตร ควรซ้อมวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุดเป็นเวลา 50 -60 นาทีก่อน หรือถ้าลงวิ่ง 21 กิโลเมตร ควรจะซ้อมวิ่งยาวไม่ต่ำกว่า 1.30 -2 ชั่วโมง จนแน่ใจว่าวิ่งได้
27. ในสนามวิ่งจริง มีจุดให้น้ำ พยายามแวะจิบน้ำที่ให้บริการ อย่ารอให้กระหายเสียก่อน อาจจะสายเกินไปนะน้อง แต่อย่าดื่มมากจนเกินไปล่ะ !!
28. เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ ไม่ควรสวมรองเท้าที่เพิ่งซื้อใหม่ลงวิ่งในสนามจริง ควรฝึกซ้อมให้เท้าชินกับรองเท้า เสียก่อน
29. รองเท้าที่ซื้อจะต้องหลวม เล็กน้อย ลองสวมดูก่อนซื้อ เมื่อสอดปลายเท้าจนชิดปลายรองเท้าแล้ว ควรหลวมพอที่จะเอานิ้วสอดเข้าไประหว่างส้นเท้ากับส่วนหลังของรองเท้าได้ รองเท้าคับ จะเป็นอันตรายต่อเล็บเท้า เมื่อวิ่งระยะไกล เท้าจะเจ็บ หรือปลายเท้าจะพอง
30. นักวิ่งต้อง หมั่นตัดเล็บเท้า ทุก 1-2 สัปดาห์ แต่ไม่ต้องทาเล็บก็ได้
31. ถ้ามีการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็น ให้ใช้น้ำแข็งประคบ ถ้าจะใช้ยาทาช่วยก็ถูเบา ๆ อย่าบดขยี้จนบี้แบน จะเจ็บหนักไปอีกนะจ๊ะ
32. ควรฝึกซ้อมวิ่งในระยะทางที่แตกต่างกันบ้าง ใช้เวลาวิ่งแต่ละวันมากบ้างน้อยบ้าง มีวันหนักวันเบา อย่าซ้อมระยะ เดียวจำเจ เปลี่ยนความเร็วบ้าง
33. ครั้งแรกๆ ที่ลงสนามจริง นักวิ่งน้องใหม่ไม่ควรอยู่ในกลุ่มหน้า เมื่อปล่อยตัวอาจจะถูกนักวิ่งฝีเท้าจัดวิ่งชน ควรยืน อยู่กลุ่มหลัง และอยู่ข้าง ๆ อย่ายืนตรงกลางกลุ่มนักวิ่ง
34. เมื่อเข้ามาเป็นนักวิ่งเพื่อสุขภาพ เป้าหมายที่แท้จริงคือ วิ่งได้นานหลาย ๆ ปี ไม่บาดเจ็บจากการวิ่ง หรือมีบ้างก็ เล็กๆ น้อยๆ ให้พยายามประคองร่างกายให้วิ่งได้ตลอดไปจนเฒ่าจนแก่
35. วิ่งเสร็จแล้วอย่าลืม คูลดาวน์ ก่อนจะออกมาคุยกันนะจ๊ะ
คำแนะนำทั้งหมดนี้ได้ จากสมุดบันทึกการวิ่ง เขียนโดย คุณปราโมทย์ ทองสมจิตร สมุดเล่มนี้ นายยิ้มซื้อมาใช้บันทึกการซ้อมและการวิ่งแข่งขัน ทำให้เรารู้ความก้าวหน้าของเรา ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้ตีตารางลงในกระดาษ A4 แล้วก็เก็บรวบรวมไว้ ทำอย่างนี้ก็หลายปีแล้ว แต่เมื่อมาเห็นสมุดบันทึกเล่มนี้ในงานวิ่งของการสื่อสาร ก็เลยตัดสินใจซื้อ อาจจะดูว่าแพงซักนิด (เล่มละ 85 บาท) แต่สามารถบันทึกได้ถึง 5 ปี มีตารางให้บันทึกหลายอย่าง เช่น น้ำหนัก/ส่วนสูง สุขภาพของเรา รองเท้าวิ่ง การวิ่งในสนามแข่ง บันทึกการซ้อม บันทึกรายจ่าย ฯลฯ

การช่วยลดภาวะโลกร้อน

๑๐ วิธีในการช่วยลดภาวะโลกร้อน

๑. วิธีในการช่วยลดภาวะโลกร้อน๑. ต้องยอมรับก่อนว่า สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนมิได้มาจากประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก แต่เราทุกคนบนพื้นผิวโลก รวมทั้งคนไทยด้วย ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การเดินทาง การขนส่ง การบริโภค การสร้างที่พักอาศัย การซื้อของ ล้วนมีส่วนสำคัญในการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
๒. ประหยัดการใช้พลังงานทุกชนิด โดยเฉพาะไฟฟ้า เพราะเชื้อเพลิงสำคัญในการผลิตไฟฟ้า คือ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ล้วนแต่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อภาวะเรือนกระจกทั้งสิ้น เลือกอุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า เช่นเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดพลังงาน เพราะหลอดไฟที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเปลี่ยนพลังงานเพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้นให้เป็นแสงสว่าง ส่วนพลังงานอีกร้อยละ ๙๐ สูญเสียไปในรูปของความร้อน และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน
๓. หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อเป็นการประหยัดการใช้น้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการโดยสารเครื่องบิน ดังที่รายงานของสถาบันสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศแนะนำว่า ควรใช้บริการรถไฟสำหรับการเดินทางในระยะทางไม่เกิน ๖๔๐ กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเที่ยวบินลงได้ถึงร้อยละ ๔๕ และบรรดานักธุรกิจควรใช้ระบบการประชุมผ่านวิดีโอแทนการให้พนักงานขึ้นเครื่องบินไปร่วมการประชุม
๔. คิดก่อนจะซื้อสิ่งของ เพราะการผลิตและการขนส่งสินค้าเกือบทุกชนิดล้วนแต่ใช้พลังงานทั้งสิ้น ก่อนจะซื้ออะไรลองถามตัวเองว่า สิ่งนั้นจำเป็นเพียงใด หรือลองเปลี่ยนจากการซื้อของใหม่เป็นการซ่อมหรือใช้ของมือสองแทน
๕. ลดการกินทิ้งกินขว้าง เพราะเศษอาหาร และของที่บูดเน่า เมื่อไปทับถมอยู่ที่กองขยะ จะกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง
๖. บริโภคของที่ผลิตในประเทศ เพราะการซื้อสินค้าจากต่างประเทศย่อมต้องสิ้นเปลืองพลังงานในการขนส่ง การกินอาหารท้องถิ่น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เช่นหันมากินปลาทูแทนปลาแซลมอน เพราะนอกจากราคาถูก และทำให้เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศแล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย
๗. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยระหว่างการเดินทาง ขวดน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิตมหาศาล แถมยังทำให้เกิดขยะล้นโลก และในการกำจัดขยะก็ต้องใช้พลังงานอีกต่างหาก
๘. หลีกเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติก เพราะการผลิตถุงพลาสติกใช้พลังงานอย่างมหาศาล ถ้าให้ดีนำถุงผ้าจากบ้านติดตัวไปด้วยเวลาซื้อของตามร้านค้า หากไม่จำเป็นควรบอกพนักงานขายว่าไม่เอาถุงพลาสติก เพราะเมื่อนำกลับบ้านแล้วคนส่วนใหญ่จะทิ้งลงถังขยะ ในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ถึงปีละ ๑ แสนล้านใบ
๙. ประหยัดการใช้กระดาษ อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ ใช้พลังงานมากเป็นอันดับ ๔ ทั้งยังก่อมลพิษทางน้ำ เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ ซึ่งเป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญด้วย
๑๐. สนับสนุนการซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิต ที่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท ที่มีส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ผลิต ที่อยากมีส่วนในการปกป้องโลก และเลิกสนับสนุนสินค้า ของบริษัทที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม